นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยผลการวิเคราะห์ผลกระทบจากการปฏิรูปภาษีนิติบุคคลในไทยตามมาตรการ PILLAR 2 ขององค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ที่กำหนดให้จัดเก็บภาษีขั้นต่ำ (GLOBAL MINIMUM TAX) ในอัตรา 15% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568
บริษัทจดทะเบียนที่อาจได้รับผลกระทบ (มีรายได้เกิน 26,000 ล้านบาท) แบ่งตามกลุ่มธุรกิจ:
กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี:
GULF: อัตราภาษีปัจจุบัน 2.6% คาดกำไรปี 2568 ลดลง 13.4%
GPSC: อัตราภาษีปัจจุบัน 1.4% แต่ประมาณการปี 2568 เกิน 15% แล้ว
RATCH: อัตราภาษีปัจจุบัน 11.6% คาดผลกระทบจำกัด
EGCO: อัตราภาษีปัจจุบัน 14.1% คาดกำไรปี 2568 ลดลง 4.1%
BPP: อัตราภาษีปัจจุบัน 9.5% คาดกำไรปี 2568 ลดลง 9%
BGRIM: อัตราภาษีปัจจุบัน 16% คาดกำไรปี 2568 ลดลง 8.3%
กลุ่มอื่นๆ:
DELTA (อิเล็กทรอนิกส์): อัตราภาษีปัจจุบัน 2.4% คาดภาษีเพิ่มขึ้น 12-13%
TU (อาหาร): อัตราภาษีปัจจุบัน 8% คาดกำไรปี 2568 ลดลง 10%
RCL (ขนส่ง): อัตราภาษีปัจจุบัน 7% คาดกำไรปี 2568 ลดลง 5.5%
อย่างไรก็ตาม บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า อัตราภาษีที่ต่ำกว่า 15% ส่วนใหญ่เป็นผลจากการได้รับสิทธิประโยชน์ BOI ซึ่งคาดว่าจะมีแนวทางช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่อลดผลกระทบ โดยหลายบริษัทอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบและรอความชัดเจนจากภาครัฐและ BOI ก่อนกำหนดมาตรการรองรับ