คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต โดยกำหนดเงื่อนไขพิเศษในการใช้จ่าย เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานราก ผ่านการใช้จ่ายแบบพบหน้า (Face to Face) ในระดับอำเภอทั้ง 878 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะกับร้านค้าขนาดเล็กและร้านสะดวกซื้อท้องถิ่น
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายชื่อ 16 สินค้าและบริการที่ไม่สามารถใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ตซื้อได้ ประกอบด้วย สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม ผลิตภัณฑ์กัญชาและกระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณี น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ และบริการต่างๆ ทั้งนี้ อาจมีการประกาศเพิ่มเติมรายการสินค้าต้องห้ามในอนาคต
โครงการนี้มีกลุ่มเป้าหมายประมาณ 50 ล้านคน โดยผู้มีสิทธิ์ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนดังนี้ เป็นประชาชนสัญชาติไทยที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน อายุเกิน 16 ปี ณ เดือนที่ลงทะเบียน มีรายได้ไม่เกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และมีเงินฝากรวมในธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจไม่เกิน 500,000 บาท
รัฐบาลได้วางระบบการใช้จ่ายเป็น 2 ระดับ คือ ระดับที่ 1 ระหว่างประชาชนกับร้านค้า จำกัดการใช้จ่ายเฉพาะในพื้นที่อำเภอ แบบพบหน้าเท่านั้น และระดับที่ 2 ระหว่างร้านค้ากับร้านค้า โดยร้านค้าที่รับเงินจากประชาชนต้องเป็นร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น ไม่รวมห้างสรรพสินค้าและห้างค้าปลีก-ค้าส่งขนาดใหญ่ทั้งระดับประเทศและท้องถิ่น
มาตรการนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยเงินที่ประชาชนได้รับจะต้องหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น ผ่านร้านค้าขนาดเล็ก ไม่สามารถใช้จ่ายกับห้างใหญ่หรือร้านค้าปลีก-ส่งขนาดใหญ่ได้ เพื่อให้เม็ดเงินกระจายสู่ผู้ประกอบการรายย่อยอย่างแท้จริง