พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เปิดศักราชใหม่แห่งความเท่าเทียมทางเพศในสังคมไทย เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือที่รู้จักกันในนาม "พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม" ได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 มกราคม 2568 นับเป็นก้าวสำคัญของสังคมไทยในการยอมรับความหลากหลายทางเพศและสร้างความเท่าเทียมในการใช้ชีวิตคู่
สิทธิและหน้าที่ใหม่ภายใต้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม
กฎหมายฉบับนี้ ไม่เพียงแต่มอบสิทธิให้กับบุคคลหลากหลายทางเพศ (LGBTQI+) เท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับหน้าที่ในฐานะคู่สมรสด้วย โดยสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ครอบคลุมหลายด้าน ดังนี้
- การหมั้นและการสมรส บุคคลที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์สามารถหมั้นและสมรสได้ โดยไม่จำกัดเพศ
- การจดทะเบียนสมรส ต้องแสดงความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน
- การหย่า ต้องจดทะเบียนการหย่าให้สมบูรณ์
- การจัดการทรัพย์สิน และภาระหนี้สินร่วมกัน
- สิทธิได้รับสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรส
- การให้ความยินยอม ในการรักษาพยาบาล
- การเป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์
- การอุปการะเลี้ยงดูคู่สมรส
สิทธิที่มีผลทันทีเมื่อกฎหมายบังคับใช้
การรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน
คู่สมรส LGBTQI+ ที่จดทะเบียนตามกฎหมายนี้สามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ทันที ตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ หมวด 4 ว่าด้วยบุตรบุญธรรม ซึ่งเป็นสิทธิที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน
การจดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติ
คู่สมรส LGBTQI+ สามารถจดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติได้ทันทีที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม การได้สัญชาติไทยของคู่สมรสต่างชาติยังคงต้องรอการแก้ไขกฎหมายสัญชาติเพิ่มเติม
ประเด็นที่ยังต้องรอการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม
การได้สัญชาติไทยของคู่สมรสต่างชาติ
ตาม พ.ร.บ.สัญชาติ 2508 ยังระบุเฉพาะกรณีของภรรยาต่างชาติที่จะขอสัญชาติตามสามี ซึ่งต้องมีการแก้ไขกฎหมายนี้ให้ครอบคลุมคู่สมรสทุกเพศ
การมีบุตรด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์
พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ยังคงมีข้อจำกัดสำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน เนื่องจากกฎหมายยังยึดโยงกับความเป็นชายและหญิง และสถานะของการเป็นสามีและภริยา
การเตรียมพร้อมสู่สังคมที่เท่าเทียม
การประกาศใช้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างสังคมที่เท่าเทียมสำหรับทุกคน อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในการปรับปรุงกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกัน รวมถึงการสร้างความเข้าใจและการยอมรับในสังคม เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมอย่างแท้จริงในทุกมิติของชีวิต
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อชุมชน LGBTQI+ เท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศในสังคมไทยโดยรวม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต