ค่าเงินบาทแข็งค่า ท่ามกลางแรงขายทำกำไรทองคำ และความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด ในวันที่ 24 กันยายน 2567 ตลาดการเงินไทยเผชิญกับความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในส่วนของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ท่ามกลางปัจจัยสำคัญทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ค่าเงินบาทเปิดตลาดแข็งค่า
ข้อมูลจากธนาคารกรุงไทยระบุว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ 32.96 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดของวันก่อนหน้าที่ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยคาดการณ์ว่ากรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้จะอยู่ที่ 32.85-33.05 บาทต่อดอลลาร์
ปัจจัยหนุนการแข็งค่าของเงินบาท
- แรงขายทำกำไรทองคำ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All-Time High) ส่งผลให้เกิดกระแสการขายทำกำไร
- ความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 75 basis points ในการประชุมที่เหลือของปีนี้
- สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำมากขึ้น
แนวโน้มค่าเงินบาทในระยะสั้น
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในลักษณะ sideways ในระยะสั้น โดยรอปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่ตลาดอาจต้องปรับลดมุมมองต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้แย่อย่างที่คาดการณ์ไว้
ปัจจัยที่ต้องจับตามอง
- รายงานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ข้อมูลเศรษฐกิจที่จะเผยแพร่ในช่วงนี้อาจส่งผลต่อทิศทางของค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ
- การปรับสถานะของนักลงทุนต่างชาติ อาจเห็นการลดสถานะ Net Long THB ของนักลงทุนบางส่วน ผ่านการขายพันธบัตรระยะสั้นและหุ้นไทย
- ความผันผวนของสกุลเงินหลักเทียบกับบาท โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท
กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน
เนื่องจากความผันผวนของค่าเงินบาท ผู้ประกอบการและนักลงทุนควรพิจารณาใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายในการปิดความเสี่ยง เช่น
- การใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง Options
- การพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการทำธุรกรรม
- การติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์อย่างทันท่วงที
สรุป
ค่าเงินบาทในวันนี้แข็งค่าขึ้น ท่ามกลางปัจจัยสำคัญหลายประการ ทั้งแรงขายทำกำไรทองคำและความคาดหวังต่อนโยบายการเงินของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงต้องติดตามปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินทิศทางค่าเงินบาทในระยะต่อไป