นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบการแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามที่กระทรวงดิจิทัลและเศรษฐกิจเพื่อสังคม (ดีอี) เสนอ เนื่องจากพบว่าประชาชนยังคงได้รับความเสียหายเฉลี่ยวันละ 60-70 ล้านบาท
สาระสำคัญของการแก้ไขครั้งนี้ประกอบด้วยการเพิ่มอำนาจในการจัดการกับแพลตฟอร์ม P2P ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด กำหนดให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือต้องระงับซิมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด และเพิ่มหน้าที่ให้ธนาคารต้องส่งข้อมูลบัญชีม้าไปยังสำนักงาน ป.ป.ง. เพื่อเร่งกระบวนการตรวจสอบและคืนเงินให้ผู้เสียหาย
พ.ร.ก.ฉบับใหม่ยังเพิ่มบทลงโทษสำหรับหลายภาคส่วน ทั้งแพลตฟอร์ม P2P ธนาคารที่ไม่ปฏิเสธการเปิดบัญชีของผู้กระทำผิด ผู้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงกำหนดให้สถาบันการเงิน เครือข่ายมือถือ และสื่อสังคมออนไลน์ต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น
การบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉบับนี้จะเริ่มทันทีหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน หรือภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบต่างๆ
ความร่วมมือระหว่างประเทศก็มีความคืบหน้า โดยในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัลครั้งล่าสุด ทุกประเทศเห็นพ้องในการยกระดับการทำงานร่วมกันเพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการหลอกลวงในโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือเป็นภัยร่วมที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกันแก้ไข