การปรับ ขึ้นค่าแรง 400 บาท ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ เมื่อ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความจำเป็นในการชะลอแผนดังกล่าว พร้อมเตรียมหารือกับนายกรัฐมนตรีเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป
สถานการณ์ค่าเงินบาทและผลกระทบต่อการส่งออก
นายพิพัฒน์ชี้แจงว่า การเลื่อนกำหนดการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท ซึ่งเดิมตั้งเป้าไว้ภายใน 1 ตุลาคม 2567 นั้น มีสาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้นอย่างมาก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย ทำให้การดำเนินการตามแผนเดิมเป็นไปได้ยากในสภาวะปัจจุบัน
ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและแรงงาน
การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลให้สินค้าไทยมีราคาแพงขึ้นในตลาดต่างประเทศ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอการจ้างงานหรือการลดต้นทุนในภาคการผลิต การขึ้นค่าแรงในช่วงเวลานี้อาจสร้างภาระเพิ่มเติมให้กับผู้ประกอบการ
ความคืบหน้าการแต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาคี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการแต่งตั้งปลัดกระทรวงแรงงานและอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) คนใหม่ เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งเดิมได้เกษียณอายุราชการ โดยคาดว่าจะมีการเสนอชื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า
การรอความชัดเจนจากธนาคารแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังต้องรอความชัดเจนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการส่งตัวแทนเข้าร่วมคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งอาจเป็นบุคคลเดิมหรือตัวแทนใหม่ โดยมีเวลาพิจารณาจนถึงเดือนมีนาคม 2568
แนวทางการดำเนินการต่อไป
การหารือกับนายกรัฐมนตรี
นายพิพัฒน์ยืนยันว่า จะนำประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปหารือกับนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อทุกภาคส่วน
ยืนยันเป้าหมายการขึ้นค่าแรง 400 บาทภายในปีนี้
แม้จะมีการเลื่อนแผน แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานยังคงยืนยันเป้าหมายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท โดยจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2567 นี้ เมื่อคณะกรรมการมีความพร้อมและสถานการณ์เอื้ออำนวย
บทสรุป
การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท เป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลมุ่งมั่นจะดำเนินการ แต่ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินบาทและผลกระทบต่อภาคการส่งออก ทำให้ต้องมีการทบทวนแผนการดำเนินงานอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งแรงงานและผู้ประกอบการ ในขณะเดียวกัน การเร่งแต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาคีชุดใหม่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายนี้ให้เป็นรูปธรรมภายในปี 2567