เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567 เวลาประมาณ 02.00 น. เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับครอบครัวของ มิ้นต์ ชาลิดา นักแสดงสาวชื่อดัง เมื่อน้องชายของเธอ มอส ราชัย วิจิตรวงศ์ทอง ถูกชาวต่างชาติทำร้ายร่างกายหลังเข้าไปช่วยเหลือพนักงานในร้านที่ถูกบุกรุก
มิ้นต์ ชาลิดา เล่าถึงเหตุการณ์ว่า พนักงานของร้านโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือจากน้องชายของเธอ แจ้งว่ามีชาวต่างชาติเข้ามาบุกรุกและทำร้ายร่างกายพนักงาน มอสจึงรีบขับรถไปที่ร้านเพื่อไกล่เกลี่ยปัญหา แต่กลับถูกชาวต่างชาติผู้ก่อเหตุทำร้ายร่างกายด้วยการแตะเข้าที่หน้า
หลังเกิดเหตุ ครอบครัวได้โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ทันที แต่ต้องรอนานถึง 40 นาทีกว่าตำรวจจะมาถึงที่เกิดเหตุ และไม่สามารถควบคุมคนร้ายได้ในทันที จนต้องประสานเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมเพื่อนำตัวผู้ต้องหาไปสถานีตำรวจ
มิ้นต์เปิดเผยว่า ขณะอยู่บนสถานีตำรวจ ผู้ก่อเหตุยังคงไม่มีท่าทีสำนึกผิด และสามารถเดินมาหาน้องชายที่นั่งอยู่ต่อหน้าตำรวจได้ตามปกติ อีกทั้งผู้ก่อเหตุยังไม่พกพาสปอร์ต มีเพียงชื่อที่สามารถให้ข้อมูลกับตำรวจได้ ก่อนจะถูกปล่อยตัวกลับบ้านไป
สิ่งที่สร้างความไม่พอใจให้กับครอบครัวของมิ้นต์มากที่สุดคือ คำพูดของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่แนะนำให้อภัยผู้ก่อเหตุเพื่อเห็นแก่ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ มิ้นต์กล่าวว่า "คำพูดที่พูดกับเรากับน้อง เราเป็นคนไทย ปล่อยไปเถอะต่างชาติ เพื่อประเทศเราจะได้แบบไม่เป็นไรนะ เราแบบ เฮ้ย มันได้เหรอ การที่ถูกเตะ ถูกทำร้ายร่างกาย แต่พูดว่าเราเป็นคนไทย เราต้องยอมต่างชาติ มันไม่ถูกต้อง"
ด้วยความกังวลว่าเรื่องนี้จะเงียบหายไป เนื่องจากผู้ก่อเหตุมีแผนเดินทางกลับประเทศในวันที่ 3 ตุลาคม 2567 ครอบครัวของมิ้นต์จึงตัดสินใจดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด โดยไม่ยอมความและเข้าแจ้งความเอาผิดกับผู้ก่อเหตุ
มิ้นต์และสามี หนุ่มม่อน ยอมรับว่ารู้สึกโกรธมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเห็นคลิปวิดีโอที่น้องชายไหว้ขอชีวิตแต่ยังถูกเตะเข้าที่หน้า ซึ่งทำให้พ่อแม่ต้องน้ำตาตกใน แม้ว่าน้องชายจะบอกว่าไม่เป็นไรและไม่อยากให้ครอบครัวเป็นห่วง
มิ้นต์ยังเปิดเผยว่า แม้จะไม่อยากใช้ชื่อเสียงในการดำเนินเรื่องนี้ แต่เธอกลัวว่าคดีจะไม่มีความคืบหน้าและคนร้ายจะลอยนวล จึงจำเป็นต้องออกมาปกป้องน้องชายและเรียกร้องความยุติธรรม โดยยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
ขณะนี้ครอบครัวของมิ้นต์กำลังพยายามสืบหาข้อมูลของผู้ก่อเหตุด้วยตนเอง และไม่กังวลว่าภาพลักษณ์ของร้านจะเสียหาย เพราะต้นเหตุไม่ได้เกิดจากร้าน แต่เกิดจากพฤติกรรมของชาวต่างชาติรายดังกล่าวเพียงคนเดียว
เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความกล้าหาญของครอบครัวมิ้นต์ในการเรียกร้องความยุติธรรม แต่ยังเป็นการตั้งคำถามต่อระบบการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและประชาชนในประเทศไทย รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรักษากฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติของผู้กระทำผิด