ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ หลังจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศยังคงไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดสร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย เมื่อพันธมิตรพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายในนาม "แนวร่วมประชานิยมใหม่" (NUPES) ซึ่งเป็นการรวมตัวระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคสังคมนิยม และพรรคกรีนส์ ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด ได้ที่นั่งในสภามากกว่า 190 ที่นั่ง จากจำนวนทั้งหมด 577 ที่นั่ง
ตามมาด้วยพันธมิตรสายกลางนำโดยพรรคเรเนสซองส์ของประธานาธิบดีมาครง ที่ได้ประมาณ 160 ที่นั่ง และพรรคแนวร่วมแห่งชาติ (RN) ของนางมารีน เลอ แปน และนายจอร์แดน บาร์เดลลา ที่ได้รับเลือกประมาณ 140 ที่นั่ง
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้คะแนนเสียงมากที่สุด แต่ฝ่ายซ้ายก็ยังไม่ถึงเกณฑ์การครองเสียงข้างมากในสภา ซึ่งต้องมีอย่างน้อย 289 ที่นั่ง ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างยากลำบาก
ประธานาธิบดีมาครงได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมรับนายกรัฐมนตรีจากฝ่ายซ้าย โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาลฝ่ายซ้ายจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคงของประเทศ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ฝ่ายซ้ายร่วมมือกับพรรคการเมืองที่เป็นขั้วอื่น
การประกาศจุดยืนของมาครงสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายซ้ายอย่างมาก นายฌ็อง-ลุก เมล็องชง แกนนำคนสำคัญของ NUPES และหัวหน้าฝ่ายซ้ายจัด ถึงกับประณามว่ามาครงกำลัง "รัฐประหารประชาธิปไตย" และเรียกร้องให้มีการประท้วง พร้อมทั้งขู่ว่าจะมีการยื่นญัตติถอดถอนประธานาธิบดี
ท่ามกลางวิกฤตการเมืองนี้ ฝรั่งเศสยังต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้า โดยเฉพาะวิกฤตหนี้สิน รัฐบาลมีกำหนดต้องนำเสนอแผนงบประมาณฉบับใหม่ต่อสภาภายในเดือนหน้า ซึ่งฝ่ายซ้ายต้องการให้มาครงแต่งตั้งนางสาวลูซี กาสเตส์ นักเศรษฐศาสตร์หญิงวัย 37 ปี ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
สถานการณ์ทางการเมืองของฝรั่งเศสในขณะนี้ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายในเร็ววัน ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายต่างๆ ยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่ประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ การหาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอนาคตของฝรั่งเศสในระยะสั้นและระยะยาว