เปิดโปงแผนการสุดช็อก! "น้องโม" สารภาพกุเรื่องลักพาตัว หวังเอาเงินให้ชายคนใหม่

วันที่ 7 สิงหาคม 2567 วงการข่าวอาชญากรรมของไทยต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อคดีการหายตัวไปอย่างลึกลับของ "น้องโม" สาวไทยที่อ้างว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลักพาตัวไป กลับพลิกผันอย่างไม่คาดฝัน เมื่อความจริงถูกเปิดเผยว่าทั้งหมดเป็นเรื่องที่เธอสร้างขึ้นมาเอง เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความตกใจให้กับสาธารณชน แต่ยังทำให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของข่าวการลักพาตัวและการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จากการสืบสวนอย่างเข้มข้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่า "น้องโม" ไม่ได้ถูกลักพาตัวแต่อย่างใด แต่เธอตั้งใจสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อหวังเอาเงินไปให้ชายคนใหม่ที่เธอแอบคบหาอยู่ โดยเจ้าหน้าที่พบตัวเธอที่กระท่อมกลางทุ่งนาในจังหวัดมหาสารคาม พร้อมกับชายคนดังกล่าว สถานที่ที่พบตัวน้องโมนั้นห่างไกลจากที่อยู่เดิมของเธอมาก ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเธอวางแผนการนี้มานานเพียงใด และมีใครรู้เห็นเป็นใจบ้างหรือไม่
เมื่อถูกจับกุม น้องโมสารภาพว่าเธอกุเรื่องทั้งหมดขึ้นมา เพราะต้องการเงินไปใช้หนี้ให้ชายคนใหม่ ซึ่งมีจำนวนมากถึง 30,000 บาท การกระทำของเธอไม่เพียงสร้างความเสียหายให้กับตัวเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวและสังคมในวงกว้าง ทั้งยังทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรในการสืบสวนคดีที่ไม่มีอยู่จริง ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานในคดีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจริง

พ่อของน้องโมเปิดใจด้วยน้ำตาท่วมหน้า ขอโทษสังคมที่ลูกสาวทำให้เดือดร้อน เขายอมรับว่าช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่คิดว่าลูกจะทำแบบนี้ ความรู้สึกของพ่อแม่ในสถานการณ์เช่นนี้คงเป็นสิ่งที่ยากจะบรรยาย ทั้งความผิดหวัง ความเสียใจ และความกังวลต่ออนาคตของลูก ส่วนสามีของน้องโมก็ตกใจไม่แพ้กัน เพิ่งรู้ว่าภรรยามีชายอื่น สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวที่อาจเป็นรากเหง้าของปัญหานี้
ตำรวจได้แจ้งข้อหา "นำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์" กับน้องโมแล้ว และเตรียมส่งฟ้องศาลต่อไป การกระทำของเธอไม่เพียงแต่ผิดกฎหมาย แต่ยังสร้างความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของระบบการรายงานคดีอาชญากรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการลักพาตัวจริงๆ ในอนาคต ส่วนพ่อของน้องโมก็กังวลเรื่องเงินประกัน เพราะไม่มีเงินมากพอ สะท้อนให้เห็นถึงภาระทางการเงินที่ครอบครัวต้องแบกรับจากการกระทำของลูก

เรื่องนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า การโกหกไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม สามารถสร้างความเดือดร้อนให้กับทั้งตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างคาดไม่ถึง และสุดท้ายแล้ว ความจริงก็มักจะปรากฏออกมาเสมอ นอกจากนี้ ยังเป็นการเตือนใจให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนเชื่อหรือแชร์ข่าวสารใดๆ โดยเฉพาะในยุคที่ข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านสื่อสังคมออนไลน์