ปูตินเชื่อ ยูเครนบุก "รัสเซีย" แค่หวังเพิ่มอำนาจต่อรอง สั่งกองทัพตะเพิดพ้นชายแดน

วันที่ 12 สิงหาคม 2567  ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่ง รัสเซีย เปิดเผยมุมมองต่อการโจมตีครั้งใหญ่ของยูเครนในดินแดนรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่าเป็นเพียงความพยายามของเคียฟ ในการยกระดับสถานะก่อนการเจรจาใด ๆ และชะลอการรุกคืบของกองกำลังรัสเซีย

การบุกโจมตีของยูเครน ในแนวป้องกันรัสเซีย

กองกำลังยูเครนได้บุกเข้าพื้นที่บางส่วน ทางตะวันตกของแคว้นคูร์สก์ ในรัสเซีย ซึ่งเผยให้เห็นถึงจุดอ่อนในการป้องกันชายแดนของรัสเซีย ปูตินกล่าวว่า ยูเครนได้รับการสนับสนุนจาก "ผู้บงการตะวันตก" ในการดำเนินการครั้งนี้

ปฏิกิริยาของรัสเซีย การตอบโต้และการรุกคืบ

ปูตินยืนยันว่า ภารกิจหลักของกระทรวงกลาโหมรัสเซียคือการขับไล่ศัตรูออกจากดินแดนของรัสเซีย พร้อมระบุว่ากองกำลังรัสเซียกำลังเร่งการรุกคืบตามแนวหน้าหลักอื่นๆ เป็นระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่ายูเครนอาจพยายามบั่นทอนเสถียรภาพตามแนวชายแดนทางตะวันตกของรัสเซียมากขึ้น

มุมมองของยูเครน ความสำเร็จในการยึดพื้นที่

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าวอ้างว่าสงครามได้ย้อนกลับไปไล่ล่ารัสเซีย โดยระบุว่าการจู่โจมข้ามชายแดนเป็นประเด็นความมั่นคงของยูเครน ด้านโอเล็กซานด์ร ซีร์สกี ผู้บัญชาการกองทัพยูเครน เปิดเผยว่ายูเครนสามารถยึดดินแดนของรัสเซียได้ประมาณ 1,000 ตารางกิโลเมตร

ผลกระทบต่อประชาชน

การอพยพครั้งใหญ่ อเล็กเซ สเมอร์นอฟ รักษาการผู้ว่าการแคว้นคูร์สก์ เปิดเผยว่ายูเครนได้เข้าควบคุมถิ่นฐาน 28 แห่งในแคว้น ครอบคลุมพื้นที่ลึก 12 กิโลเมตรและกว้าง 40 กิโลเมตร ส่งผลให้มีประชาชนอพยพออกมาแล้วกว่า 121,000 คน และอีกประมาณ 59,000 คนอยู่ในกระบวนการอพยพ นอกจากนี้ ในแคว้นเบลโกรอดซึ่งมีชายแดนติดกับแคว้นคูร์สก์ ก็มีการอพยพพลเรือนหลายพันคนเช่นกัน

ผลกระทบทางการเมือง

การกระตุ้นฝ่ายสายแข็งในรัสเซีย การโจมตีของยูเครนได้กระตุ้นให้กลุ่มสายแข็งในรัสเซียเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งการรุกคืบกดดันยูเครนมากขึ้น โดยมองว่าการเจรจาหยุดยิงใดๆ เป็นเรื่องเสียเวลา

สถานการณ์ปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต

หลังจากสงครามดำเนินมากว่า 2 ปี รัสเซียควบคุมดินแดนของยูเครนคิดเป็นสัดส่วน 18% แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเริ่มพิจารณาความเป็นไปได้ในการเจรจา แต่ความเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงยังคงแตกต่างกันอย่างมาก

การโจมตีครั้งนี้ของยูเครน อาจเป็นความพยายามในการแสดงศักยภาพทางทหารต่อพันธมิตรตะวันตก ท่ามกลางแรงกดดันให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังคงไม่แน่นอนและอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต