เขื่อนยักษ์ภาคเหนือ รับมือน้ำท่วม กฟผ.เร่งช่วยประชาชน

สถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยยังคงน่าเป็นห่วง แม้ปริมาณฝนจะเริ่มลดลง แต่มวลน้ำจำนวนมากยังคงไหลในลุ่มน้ำต่างๆ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการน้ำผ่านเขื่อนขนาดใหญ่ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย

นายชวลิต กันคำ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน กฟผ. เปิดเผยว่า สาเหตุของอุทกภัยครั้งนี้เกิดจากร่องมรสุมปานกลางค่อนข้างแรงที่พาดผ่านภาคเหนือตอนบน ส่งผลให้มีฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 15-21 สิงหาคม 2567 โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน และแพร่ ทำให้ปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติอย่างมาก

กฟผ. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและดำเนินการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนหลักสองแห่ง ได้แก่ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2567 เขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ5,846.02 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 43.4% ของความจุอ่าง โดยยังสามารถรับน้ำได้อีกถึง 7,615.98 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 56.6% ของความจุอ่าง ส่วนเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำ 6,330.60 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 66.60% ของความจุอ่าง และยังรับน้ำได้อีก 3,179.40 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 33.40% ของความจุอ่าง

เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำตอนล่าง เขื่อนสิริกิติ์ได้ปรับแผนลดการระบายน้ำลงเหลือวันละ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงน้ำท่วมแล้ว ยังเป็นการกักเก็บน้ำต้นทุนไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งปีหน้าอีกด้วย

กฟผ. ยังได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยประชาชนสามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำได้ทาง ศูนย์บริการจัดการน้ำอัจฉริยะ http://water.egat.co.th/

นอกจากการบริหารจัดการน้ำแล้ว กฟผ. ยังแสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบอุทกภัย โดยกำลังเร่งบรรจุถุงยังชีพเพื่อนำไปแจกจ่ายและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ กฟผ. ในการยืนเคียงข้างประชาชนชาวไทยในทุกวิกฤต