ในวงการภาพยนตร์ไทย เกิดประเด็นถกเถียงขึ้นเมื่อ เอกชัย ศรีวิชัย ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง "เหมรย" ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อคำวิจารณ์ที่ให้คะแนนผลงานของเขา 0 เต็ม 10 คะแนน เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความสนใจในวงกว้าง แต่ยังเปิดประเด็นสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของนักวิจารณ์และผู้สร้างภาพยนตร์ในอุตสาหกรรมบันเทิง
คุณเอกชัยกล่าวว่า "ผมทำหนังเพื่อให้คนดูมีความสุข และคนส่วนใหญ่ก็ชอบนะ ดูจากรายได้ที่สูงลิ่ว" คำพูดนี้สะท้อนถึงมุมมองของผู้สร้างที่ให้ความสำคัญกับการตอบรับของผู้ชมทั่วไปและความสำเร็จทางการเงิน มากกว่าความเห็นของนักวิจารณ์
ดร.สมศักดิ์ นักวิชาการด้านภาพยนตร์ศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ให้ความเห็นว่า "การวิจารณ์ภาพยนตร์เป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมภาพยนตร์ ที่ช่วยสร้างการวิเคราะห์และการอภิปรายเชิงลึกเกี่ยวกับงานศิลปะ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ามุมมองของนักวิจารณ์และผู้ชมทั่วไปอาจแตกต่างกันได้" คำอธิบายนี้ช่วยให้เข้าใจถึงบทบาทและความสำคัญของการวิจารณ์ในบริบทที่กว้างขึ้น
คุณสมหญิง นักวิจารณ์ภาพยนตร์อิสระ เสนอมุมมองว่า "การให้คะแนน 0 เต็ม 10 อาจเป็นการแสดงความเห็นที่รุนแรงเกินไป และอาจไม่สะท้อนคุณค่าของภาพยนตร์อย่างครบถ้วน การวิจารณ์ควรมีการอธิบายเหตุผลอย่างละเอียดและเป็นธรรม" ความเห็นนี้ชี้ให้เห็นถึงความรับผิดชอบของนักวิจารณ์ในการนำเสนอมุมมองที่สมดุลและมีเหตุผล
ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดภาพยนตร์ คุณวิชัย กล่าวว่า "ความสำเร็จของภาพยนตร์ไม่ได้วัดจากคำวิจารณ์หรือรายได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงผลกระทบทางวัฒนธรรมและการสร้างการรับรู้ในสังคม" คำอธิบายนี้เปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับการประเมินคุณค่าของภาพยนตร์
คุณเอกชัยยังเสริมว่า "ถ้าอยากวิจารณ์นัก ก็ลองทำหนังเองดูสิ จะได้โดนด่าบ้าง" ประโยคนี้อาจสะท้อนถึงความคับข้องใจของผู้สร้าง แต่ก็เปิดประเด็นเกี่ยวกับความเข้าใจระหว่างผู้สร้างและผู้วิจารณ์
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นประเด็นถกเถียงในวงการภาพยนตร์ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างความคิดสร้างสรรค์ของผู้สร้าง การตอบรับของผู้ชม และบทบาทของนักวิจารณ์ในการส่งเสริมวัฒนธรรมภาพยนตร์ที่มีคุณภาพ การเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างและการสร้างการสนทนาที่สร้างสรรค์อาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต