วงการธนาคารไทยต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ดราม่าที่สร้างความตกใจให้กับวงการการเงินและประชาชนทั่วไป เมื่อนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วัย 60 ปี ต้องสูญเสียเงินเก็บทั้งชีวิตกว่า 29 ล้านบาท หลังจากถูกธนาคารชื่อดังยึดเงินในบัญชี โดยอ้างว่าเป็นการ "ค้ำประกัน" ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งที่ประสบปัญหาทางการเงิน เรื่องราวนี้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 เมื่อคุณกิรณา (นามสมมติ) นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วัย 60 ปี พร้อมด้วยทนายความส่วนตัว ได้เดินทางมายังศูนย์ดำรงธรรม เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ขอความช่วยเหลือในกรณีที่ถูกธนาคารยึดเงินในบัญชีที่เป็นเงินเก็บสะสมมาทั้งชีวิต
คุณกิรณาเล่าว่า เธอได้ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัทนำเข้า-ส่งออก และโลจิสติกส์แห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาบริษัทดังกล่าวประสบปัญหาขาดสภาพคล่องอันเนื่องมาจากวิกฤตโควิด-19 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงติดต่อกับทางธนาคารอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรับผิดชอบต่อภาระหนี้สินที่มีอยู่ ต่อมา ทางธนาคารได้ติดต่อมาหาคุณกิรณา เพื่อเสนอการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งคุณกิรณาก็ยินยอมและอยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยบริษัทลูกหนี้ที่เธอค้ำประกันก็ยังคงติดต่อกับทางธนาคารอยู่ตลอดเวลา แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างทุกฝ่าย
จุดพลิกผันของเรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เมื่อคุณกิรณาได้รับหนังสือแจ้งเตือนจากธนาคาร ระบุว่าบริษัทลูกหนี้ผิดชำระหนี้ และเพียงแค่หนึ่งเดือนต่อมา คือวันที่ 6 มีนาคม 2566 ธนาคารก็ได้ดำเนินการหักเงินจากบัญชีของคุณกิรณาโดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เป็นจำนวนเงินสูงถึง 29 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินเก็บสะสมทั้งชีวิตของเธอ การกระทำนี้สร้างความตกใจและความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับคุณกิรณา ทำให้เธอต้องหาทางเยียวยาและเรียกร้องความเป็นธรรม
ทนายความส่วนตัวของคุณกิรณาได้เปิดเผยว่า หลังจากตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียด พบว่าธนาคารได้ส่งหนังสือแก้ไขสัญญา โดยเปลี่ยนสถานะของคุณกิรณาจาก "ผู้ค้ำประกัน" เป็น "ผู้ให้ประกัน" เพื่อให้คุณกิรณารับผิดชอบหนี้ร่วมกับบริษัทลูกหนี้ ทั้งๆ ที่คุณกิรณายังไม่ได้ลงนามในเอกสารดังกล่าว การกระทำเช่นนี้เข้าข่ายผิดกฎหมายหลายข้อ โดยทนายความชี้แจงว่า ธนาคารไม่มีสิทธิ์ยึดเงินในบัญชีโดยที่ยังไม่ได้มีการฟ้องร้องหรือพิสูจน์ความผิด และการแก้ไขสัญญาโดยที่เจ้าของสัญญาไม่รับรู้นั้นถือเป็นโมฆะ
กรณีนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับคุณกิรณาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในระบบการเงินและการธนาคารของไทย ที่อาจมีช่องโหว่ให้เกิดการเอาเปรียบลูกค้าได้ นอกจากนี้ ยังเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประชาชนทั่วไปในการระมัดระวังเมื่อทำธุรกรรมทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้ำประกัน ซึ่งอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงและผลกระทบมหาศาลที่ไม่คาดคิด
ขณะนี้ ทุกฝ่ายกำลังจับตามองว่า นายชาดา ไทยเศรษฐ์ จะเข้ามาช่วยเหลือและทวงความยุติธรรมให้กับคุณกิรณาได้อย่างไร และกรณีนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระบบการธนาคารและการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กับคุณกิรณาเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบการเงินและการธนาคารให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นในอนาคต