ความขัดแย้งในวงการตำรวจไทยดูเหมือนจะยังไม่จบลงง่ายๆ เมื่อล่าสุด คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ กพคตร. ได้มีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล หรือที่รู้จักกันในนาม "บิ๊กโจ๊ก" รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยชี้ว่าคำสั่งให้ออกจากราชการนั้นชอบด้วยกฎหมาย เหตุการณ์นี้สืบเนื่องมาจากกรณีที่ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกท่านหนึ่ง ได้ลงนามในคำสั่งให้ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ออกจากราชการ ซึ่งนำไปสู่การฟ้องร้องและความขัดแย้งภายในองค์กรตำรวจ
ก่อนหน้านี้ ได้มีมติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ด้วยคะแนนเสียง 12 ต่อ 0 เห็นชอบกับคำสั่งให้ "บิ๊กโจ๊ก" ออกจากราชการ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความชอบธรรมของคำสั่งดังกล่าว อย่างไรก็ตาม พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ยังคงยืนยันที่จะต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อความเป็นธรรม จึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ กพคตร. ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์และเรื่องร้องทุกข์ของข้าราชการตำรวจ
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 นายธวัชชัย ไทยเขียว หนึ่งในคณะกรรมการ กพคตร. และรองโฆษก กพคตร. ได้เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงผลการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ร้องทุกข์ของ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ โดยระบุว่า คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นชอบด้วยกฎหมาย การเปิดเผยข้อมูลนี้ทำให้สถานการณ์ยิ่งชัดเจนขึ้นว่า "บิ๊กโจ๊ก" จะต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักในการต่อสู้เพื่อกลับเข้ารับราชการ
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ทางกฎหมายของ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ เนื่องจากเขายังมีสิทธิ์ที่จะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งผลการวินิจฉัยจาก กพคตร. ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม การตัดสินใจของศาลปกครองสูงสุดจะเป็นบทสรุปสุดท้ายของคดีนี้ และอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการบริหารงานภายในองค์กรตำรวจ รวมถึงระบบการพิจารณาความดีความชอบและการลงโทษทางวินัยของข้าราชการตำรวจในอนาคต
กรณีนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของความขัดแย้งส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบราชการไทย โดยเฉพาะในองค์กรตำรวจ ที่มักจะมีความขัดแย้งทางการเมืองภายในและการแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆ การที่คดีนี้ได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างกว้างขวาง ยังเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของความโปร่งใสและความยุติธรรมในการบริหารงานภาครัฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนคาดหวังจากหน่วยงานที่มีหน้าที่รักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยของสังคม
ในขณะที่สังคมไทยจับตามองการพัฒนาของคดีนี้ ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะเกิดการถกเถียงและพิจารณาถึงการปฏิรูประบบราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของกระบวนการยุติธรรมและการบริหารงานบุคคลในองค์กรภาครัฐ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต