sahm rule คือ เสียงเตือนภัยเศรษฐกิจโลกดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อ 'กฎของซาห์ม' (Sahm Rule) ส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง รวมถึงดัชนีหุ้นไทยที่ร่วงต่ำกว่า 1,300 จุด ในขณะที่ราคาพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น แต่กฎนี้คืออะไร และสามารถทำนายอนาคตเศรษฐกิจได้แม่นยำเพียงใด?
กฎของซาห์ม sahm rule คือ ตัวชี้วัดเศรษฐกิจถดถอยที่น่าจับตา
กฎของซาห์มเป็นตัวชี้วัดที่ใช้ทำนายโอกาสการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) โดยอาศัยข้อมูล "อัตราการว่างงาน" (Unemployment Rate) เป็นหลัก ซึ่งถูกคิดค้นโดย เคลาเดีย ซาห์ม (Claudia Sahm) นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
วิธีการคำนวณทำได้โดยนำค่าเฉลี่ยของอัตราการว่างงานย้อนหลัง 3 เดือน ลบด้วยอัตราการว่างงานต่ำสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา หากผลต่างมีค่าเกิน 0.5% จะถือเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย
ที่น่าสนใจคือ ตัวชี้วัดนี้สามารถทำนายภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ได้อย่างแม่นยำมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970
สถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อ sahm rule คือ กฎของซาห์มส่งสัญญาณเตือน
ล่าสุด อัตราการว่างงานในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 4.3% ในเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เดือนของอัตราการว่างงานทะลุผ่าน 0.5% เป็นครั้งแรกในรอบวัฏจักรเศรษฐกิจนี้ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลถึงความเป็นไปได้ของภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) ประธานเฟด ให้ความเห็นว่า "ผมเรียกสิ่งนี้ว่าความสม่ำเสมอทางสถิติ ไม่เหมือนกับกฎเศรษฐศาสตร์ที่บอกว่าอะไรบางอย่างจะต้องเกิดขึ้น" สอดคล้องกับความเห็นของ เคลาเดีย ซาห์ม ที่มองว่ากฎนี้เป็นเพียง "ความสม่ำเสมอเชิงประจักษ์จากอดีต ไม่ใช่กฎธรรมชาติ"
ข้อจำกัดของกฎซาห์มในปัจจุบัน
แม้กฎของซาห์ม จะมีประวัติการทำนายที่แม่นยำ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันอาจมีข้อจำกัดบางประการ:
- ผลกระทบจากโควิด-19 การระบาดใหญ่ทำให้รูปแบบวัฏจักรธุรกิจผิดไปจากปกติ
- การขยายตัวของแรงงาน การเพิ่มขึ้นของการว่างงานอาจเกิดจากการย้ายถิ่นฐานของแรงงาน ไม่ใช่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
- การเลิกจ้างที่ยังอยู่ในระดับต่ำ แม้จะเพิ่มขึ้นแต่การเลิกจ้างยังคงอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์
- ความลังเลของนายจ้าง หลังจากประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานจากโควิด-19 นายจ้างส่วนใหญ่ลังเลที่จะลดจำนวนพนักงาน
บทสรุปกฎของซาห์ม กับอนาคตเศรษฐกิจ
แม้กฎของซาห์มจะส่งสัญญาณเตือน แต่ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม สัญญาณนี้ควรถูกมองเป็นเครื่องเตือนให้ระมัดระวัง โดยตลาดการเงินได้ตอบสนองต่อความกังวลนี้ด้วยการปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในท้ายที่สุด การติดตามตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่นๆ ประกอบกัน เช่น การเติบโตของ GDP และอัตราเงินเฟ้อ จะช่วยให้เห็นภาพรวมของเศรษฐกิจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้ลงทุนและผู้ประกอบการควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ที่มา : bangkokbiznews, usatoday, investopedia