ศึกดีเบตครั้งแรกระหว่าง คามาลา แฮร์ริส และ โดนัลด์ ทรัมป์ จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตย แต่เส้นทางสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังอีกยาวไกล การโต้วาทีเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 ณ เมืองฟิลาเดลเฟีย เป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันที่เข้มข้น โดยยังเหลือเวลาอีก 8 สัปดาห์ก่อนถึงวันเลือกตั้ง
ผลโพลหลังดีเบตชี้ชัด แฮร์ริสเหนือกว่า
ผลสำรวจความคิดเห็นจาก CNN เผยว่า 63% ของผู้ชมเห็นว่า แฮร์ริสทำผลงานได้ดีกว่า ขณะที่ 37% เชียร์ทรัมป์ นับเป็นการพลิกสถานการณ์จากก่อนดีเบตที่คะแนนเท่ากัน 50-50 นอกจากนี้ ความนิยมของแฮร์ริสยังเพิ่มขึ้น 6% หลังจบรายการ
ปัจจัยชี้ขาด ใครจะนำการเปลี่ยนแปลง
แม้แฮร์ริสจะชนะดีเบต แต่ไม่ได้หมายความว่าจะคว้าชัยในการเลือกตั้งโดยอัตโนมัติ ผลสำรวจล่าสุดจาก New York Times/Siena College ชี้ว่า 63% ของชาวอเมริกันต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากยุคของ โจ ไบเดน ประเด็นนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
แฮร์ริสเสนอ "เส้นทางใหม่สู่อนาคต" ขณะที่ทรัมป์โจมตีคู่แข่งว่าไม่ได้สร้างผลงานในช่วง 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ยังลังเลอีกกว่า 200,000 คน
จุดแข็ง-จุดอ่อนของผู้ท้าชิง
ทรัมป์ได้เปรียบในประเด็นเศรษฐกิจและนโยบายผู้อพยพ ซึ่งเคยเป็นจุดขายสำคัญในการเลือกตั้งครั้งก่อน ขณะที่แฮร์ริสมีคะแนนนำในเรื่องสิทธิการทำแท้งและการปกป้องประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม ผลโพลล่าสุดชี้ว่าคะแนนของทั้งคู่ยังสูสีกันมาก การตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในช่วง 8 สัปดาห์สุดท้ายจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
บทสรุปเกมยังไม่จบ
แม้แฮร์ริสจะชนะในรอบดีเบต แต่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า ผู้แพ้ดีเบตอย่าง จอร์จ ดับเบิลยู บุช และ โดนัลด์ ทรัมป์ เองก็เคยคว้าชัยในการเลือกตั้งมาแล้ว การแข่งขันในช่วงโค้งสุดท้ายจึงยังเปิดกว้าง และทุกคะแนนเสียงล้วนมีความหมาย ผู้ที่จะคว้าชัยชนะในที่สุด คือผู้ที่สามารถโน้มน้าวใจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งได้ว่า ตนคือผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ชาวอเมริกันกำลังรอคอย