วิกฤตน้ำท่วมภาคเหนือยังคงรุนแรง โดยเฉพาะจังหวัดน่าน เชียงราย พะเยา และแพร่ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน พื้นที่การเกษตร และการคมนาคมอย่างกว้างขวาง
จังหวัดน่านประสบภัยน้ำท่วมรุนแรงที่สุด โดยมีพื้นที่ประสบภัยถึง 8 อำเภอ อำเภอท่าวังผาเข้าขั้นวิกฤติ มีน้ำท่วมสูงกว่า 2 เมตรในบางพื้นที่ ทำให้ประชาชนกว่า 500 ครัวเรือนต้องอพยพ ถนนหลายสายถูกตัดขาด โรงเรียนหลายแห่งต้องปิดการเรียนการสอน ทางจังหวัดได้ระดมทุกหน่วยงานเข้าช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน
จังหวัดเชียงรายเผชิญทั้งน้ำป่าไหลหลากและดินสไลด์ โดยเฉพาะในอำเภอเทิงและเวียงแก่น มีสะพานขาดหลายจุด นักเรียนและครูหลายสิบคนติดอยู่ในโรงเรียนไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ กองกำลังทหารได้เข้าช่วยเหลือประชาชนในหลายพื้นที่
จังหวัดพะเยาประสบภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี น้ำท่วมขยายวงกว้างเกือบทุกอำเภอ สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร ทหารและหน่วยงานท้องถิ่นระดมกำลังช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ในบ้านและขนย้ายสิ่งของ
จังหวัดแพร่เผชิญภัยน้ำท่วมจากแม่น้ำยมล้นตลิ่ง ส่งผลกระทบต่อหลายอำเภอ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ เจ้าหน้าที่เร่งวางกระสอบทรายและสูบน้ำออกจากพื้นที่
นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ และสั่งการให้นายภูมิธรรม เวชยชัย ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยระดมทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งเร่งระบายน้ำและวางแผนฟื้นฟูความเสียหาย
นอกจากนี้ ยังมีการระดมความช่วยเหลือจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรทางศาสนา เพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัย ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานผลกระทบต่อสถานพยาบาลในพื้นที่ และเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาสุขภาพที่อาจตามมา
สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ยังส่งผลกระทบต่อแหล่งโบราณสถานสำคัญหลายแห่งในภาคเหนือ เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความเสียหายและวางแผนฟื้นฟูต่อไป
ทั้งนี้ คาดว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะยังคงรุนแรงต่อเนื่อง ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเลวร้ายลงได้