เหตุการณ์น้ำท่วมที่ ปางช้างแม่แตงเชียงใหม่ เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2567 ได้สร้างความสูญเสียและก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงและดูแลช้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของมูลนิธิช้างและสิ่งแวดล้อม หรือ Elephant Nature Park (ENP) ที่มีแนวทางการเลี้ยงช้างแบบไม่ล่ามโซ่ ไม่ใช้ตะขอ ซึ่งแตกต่างจากวิธีการเลี้ยงช้างแบบดั้งเดิม
ความเสียหายจากน้ำท่วม
น้ำจากลำน้ำแม่แตงไหลทะลักเข้าท่วม ENP อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ช้าง 2 เชือกเสียชีวิต คือ ช้างฟ้าใส (ชื่อเดิม วันเฉลิม) และพลอยทอง นอกจากนี้ยังมีช้างอีกจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับภาวะเครียดและอันตรายจากน้ำท่วม
สถานการณ์การช่วยเหลือ
ทีมงานจากสถาบันคชบาลแห่งชาติได้เข้าช่วยเหลือ แต่พบอุปสรรคสำคัญ
1. เส้นทางเข้าถึงปางช้างถูกตัดขาด
2. การสื่อสารทำได้ยาก ต้องใช้วิทยุสื่อสาร
3. ช้างบางส่วนไม่คุ้นเคยกับการสัมผัสหรือคำสั่งจากมนุษย์
ทีมงานต้องแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกดูแลช้างที่สามารถสื่อสารกับควาญได้ ส่วนกลุ่มที่สองดูแลช้างที่ไม่คุ้นเคยกับมนุษย์ ซึ่งต้องใช้วิธีพิเศษในการควบคุมและนำทาง
ประเด็นถกเถียง วิธีการเลี้ยงช้างที่เหมาะสม
ฝ่ายสนับสนุนการเลี้ยงแบบดั้งเดิม
สัตวแพทย์หญิงนฤพร กิตติศิริกุล และกัญจนา ศิลปอาชา ชี้ประเด็นสำคัญ
1. ปางช้างอื่นๆ สามารถอพยพช้างได้ทันเวลาเนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างช้างและควาญ
2. การเลี้ยงแบบไม่ล่ามโซ่อาจทำให้ยากต่อการช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน
3. ควาญช้างที่มีความชำนาญสามารถเข้าช่วยเหลือช้างได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
ฝ่ายสนับสนุนการเลี้ยงแบบ ENP
นารากร ติยายน และสมบัติ บุญงามอนงค์ ให้มุมมองต่าง
แสงเดือน ชัยเลิศ ผู้ก่อตั้งENP เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการคุ้มครองสัตว์ วิธีการของอีเอ็นพีประสบความสำเร็จ ในการจัดการปัญหาระหว่างช้างป่ากับมนุษย์ในหลายประเทศ ดูแลช้างจำนวนมาก รวมถึงช้างแก่ บาดเจ็บ และพิการ ซึ่งต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
บทเรียนและข้อคิดสำหรับอนาคต
- ความสำคัญของการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ
- การสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และความปลอดภัยของสัตว์
- ความจำเป็นในการพัฒนาวิธีการดูแลช้างที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย
- การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านช้าง
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับวงการอนุรักษ์ช้างไทย ที่ต้องพิจารณาถึงความสมดุลระหว่างการดูแลช้างอย่างมีมนุษยธรรมและความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน การพัฒนาแนวทางที่ผสมผสานจุดแข็งของทั้งสองวิธีอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของการอนุรักษ์ช้างในประเทศไทย